Ads 468x60px

Compare hotel prices and find the best deal - hotelscombined.com

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

ความรัก คืออะไร

                              
           
                                                คัดลอกจาก:จิตวิทยาแห่งความรัก การเลือกคู่ และการอยู่คนเดียว
                                                                              ไชย ณ พล, Ph.D.
หากจะกล่าวกันอย่างกระชับและตรงไปตรงมา ความรักคือ ความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งจนบังเกิดความปรารถนาขึ้น

แต่ปรารถนานั้นมีอยู่สองทิศทางคือ ปรารถนาที่จะได้กับปรารถนาที่จะให้

เมื่อบุคคลรักบางสิ่งบางอย่าง เขาอาจจะมีปรารถนาอย่างใด อย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง ดังนี้

๑. รักที่ปรารถนาจะได้อย่างเดียว ความรักแบบนี้อยู่บนพื้นฐานของจิตใจที่ยังขาดพร่องไม่สมบูรณ์ การรักผู้อื่นเป็นเพียงภาษาของการเรียกร้อง เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ความรักชนิดนี้ จะรักในผู้ที่ถูกรักโดยมีเงื่อนไขคือหวังดูดซับคุณ หรือพึ่งพิงค่าของผู้ที่ถูกรัก

๒. รักที่ปรารถนาจะให้อย่างเดียว ความรักแบบนี้อยู่บนพื้นฐานของจิตใจที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ดวงใจเช่นนี้ย่อมรักที่จะรัก คือรักความสุขอันเกิดขึ้นจากการรัก จึงมอบความรักให้ผู้อื่นโดยไม่มีเงื่อนไขที่จะต้องได้สิ่งใดหวนคืนมา แค่รักก็เป็นสุขแล้ว รักแบบนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เมตตา

๓. รักที่ปรารถนาที่จะให้และต้องการได้ ความรักแบบนี้อยู่บนพื้นฐานของจิตใจระดับกลางทั่ว ๆ ไป ซึ่งจะยินดีในการสละให้ ช่วยเหลือเกื้อกูล แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการการตอบแทนด้วย เช่น เธอจะต้องเป็นคนดีตามมาตรฐานนี้ ๆ นั้น ๆ หรือเธอจะต้องรักฉันด้วยเช่นกัน หรือ...ฯลฯ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมีความรักแบบนี้

ความรักทั้งหลายของมนุษย์ สัตว์ เทวดา พรหมในโลกทั้งปวงไม่พ้นไปจากความรักทั้งสามประการนี้

ความรักประเภทปรารถนาจะได้อย่างเดียว เป็นความรักชั้นต่ำซึ่งสัตว์เดรัจฉานส่วนใหญ่ และมนุษย์ส่วนน้อยจะมีความรักแบบนี้

ความรักประเภทปรารถนาจะให้อย่างเดียว เป็นความรักชั้นสูง ซึ่งพรหมส่วนใหญ่และเทวดาส่วนน้อยจะมีความรักแบบนี้

ความรักประเภทปรารถนาทั้งจะให้และจะได้ เป็นความรักระดับกลางที่มนุษย์และเทวดาส่วนใหญ่มีกันอยู่ในปัจจุบันนี้


รักอย่างไรให้เป็นสุข

การรักอย่างเป็นสุขนั้น สามารถทำได้ดังนี้

๑. ชำระใจตนให้สะอาด หมดจด จากความต้องการใด ๆ แล้วแผ่ความรัก ความปรารถนาดีออกไปรอบทิศทาง จนอิ่มเอิบ เปี่ยมสุข ความรักอย่างนี้เรียกว่า รักสากล หรือเมตตาอันหมดจด จะทำให้ผู้รักอยู่เป็นสุข ตื่นเป็นสุข หลับเป็นสุข ถ้าฝันก็ฝันดี เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายถ้าต้องการรักเจาะจงบุคคล ทำอย่างไรจึงจะเป็นสุข

๒. หากประสงค์จะรักเฉพาะบุคคล ให้ตั้งใจให้สะอาด ปรารถนาจะมอบให้ซึ่งความรักอันหมดจด จริงใจ โดยไม่หวังสิ่งใด ๆ ตอบแทน บางคนอาจคิดว่าทำได้หรือ

ก็ต้องตอบตามความจริงว่า ทำได้แน่ สมัยหนึ่ง ขณะที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ เคยตั้งใจชำระจิตของตนและยกระดับใจให้สูงส่งโดยตั้งใจให้หมดจด แผ่แต่ความรักความเมตตาอันบริสุทธิ์ ที่ปรารถนาจะมอบคุณค่าให้แก่บุคคลผู้หนึ่ง และเกื้อกูลเขาอย่างแท้จริง เพื่อให้เขาเป็นสุข

ความรักนั้นบริสุทธิ์และมีค่ามาก เขาผู้นั้นก็เอิบอิ่ม เป็นสุข ประทับใจในความรักอันบริสุทธิ์ และมอบความรักอันหมดจดตอบ

เมื่อต่างคนต่างไม่ต้องการอะไรจากกัน ต่างก็หวังจะให้แก่กัน จึงไม่มีใครผิดหวัง ความทุกข์ก็ไม่มีโอกาสเกิดขึ้น จิตเป็นอิสระ ปราศจากความห่วงหาอาวรณ์ ยามไม่ได้พบกันก็ไม่ได้คิดถึงคนึงหา แต่ยามพบกันคราใดก็จะมีความจริงใจ อันสะอาดหมดจดให้แก่กัน สัมพันธภาพจึงราบรื่นไร้ปัญหา และเอื้อต่อความสุขอย่างแท้จริง

แต่การใช้วิธีนี้ต้องคำนึงถึงระดับของคู่สัมพันธ์ คู่สัมพันธ์ต้องเป็นบุคคลที่มีจิตใจประเสริฐและพร้อมที่จะให้เหมือนกันจึงจะเป็นสุข ถ้าจิตใจคู่สัมพันธ์บกพร่องหรือหยาบช้า มีเจตนาไม่ดี หรือมีแต่ความอยากได้ถ่ายเดียวแล้ว ก็จะไม่ผลเป็นความสุข

เพราะในขณะที่คนหนึ่งหมั่นสละให้อีกคนก็จ้องจะตักตวง คนหนึ่งเพียรสร้างความสุข อีกคนก็เฝ้าทำลาย แม้จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ก็ย่อมเป็นทุกข์ทั้งสิ้น

ความปรารถนาดีและการสละให้โดยหมดจดคือวิธีรักอย่างเป็นสุขระดับที่สอง รองลงมาจากเมตตาอันหมดจด ไร้ขอบเขต

ถ้าหากมีความต้องการสนองตอบด้วยล่ะ ทำอย่างไรจึงจะเป็นสุข

๓. หากมีความต้องการด้วย ก่อนอื่นต้องเลือกบุคคลที่มีความประเสริฐจริงในการคบหาด้วย จากนั้นยินดีในคู่สัมพันธ์ของเรา ความยินดีจะทำให้เกิดความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อเคารพซึ่งกันและกันแล้วก็ตั้งความจริงใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทั้งทางใจ ทางวาจา และทางกายกรรม จากนั้นก็เก็บความต้องการของตนเสียแล้วประพฤติตามความต้องการของคู่สัมพันธ์

เรื่องนี้ประณีตมาก การที่จะเก็บความต้องการของตนเสีย แล้วประพฤติตามความต้องการของคู่สัมพันธ์นั้น จะต้องได้คู่ที่มีคุณธรรมระดับเดียวกัน หรือดีกว่าเท่านั้น หาไม่แล้วจะอึดอัด และอาจนำไปสู่ความหายนะได้โดยง่าย

แต่หากได้คู่ที่มีคุณธรรมระดับเดียวกัน และต่างคนต่างก็ปฏิบัติเหมือนกันคือเก็บความต้องการของตนเสีย และปฏิบัติตามความต้องการของคู่สัมพันธ์ เมื่อต่างคนต่างเก็บความต้องการของตนแล้วหวังจะประพฤติตามความต้องการของคู่สัมพันธ์แล้ว ในที่สุดจะปฏิบัติตามความต้องการของใครเล่า

เมื่อคนดีและคนดีอยู่ด้วยกัน และประสงค์จะประพฤติตามความต้องการของกันและกัน ก็จะพัฒนาไปสู่การประนอมเพื่อความต้องการร่วม โดยต่างพยายามหาจุดประสานหรือจุดร่วมในความต้องการของทั้งสองฝ่าย ในที่สุดก็จะได้วิถีที่สอดคล้องกับความต้องการของทั้งสองคน

การรักกันตามมาตรฐานนี้ ก็จะเป็นสุขได้

เรื่องเคยมีมาแล้ว สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังป่าโคสิงคสาวัน อันเป็นที่บำเพ็ญเพียรของท่านอนุรุทธ พระนันทิยะ และพระกิมิละ ครั้งนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไปถึงแล้ว ได้ตรัสกะท่านทั้งสามนั้นว่า

"ดูกรอนุรุทธ นันทิยะ และกิมิละ ก็พวกเธอยังพร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน ยังเป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ แลดูกันและกันด้วยจักษุอันเป็นที่รักอยู่หรือ"        ท่านพระอนุรุทธกราบทูลว่า "เป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามเพื่อย้ำสำนึกของท่านเหล่านั้นว่า "ก็พวกเธอเป็นอย่างนั้นได้ เพราะเหตุอย่างไร"

ท่านพระอนุรุทธกราบทูลว่า "พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์มีความดำริอย่างนี้ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่ได้อยู่กับเพื่อนร่วมพรหมจรรย์เห็นปานนี้

ข้าพระองค์เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาในท่านผู้มีอายุเหล่านี้ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตาในทานผู้มีอายุเหล่านี้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในท่านผู้มีอายุเหล่านี้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ข้าพระองค์มีความดำริอย่างนี้ว่าไฉนหนอเราพึงเก็บจิต (ความต้องการและความรู้สึก) ของตนเสียแล้วประพฤติตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุเหล่านี้ กายพวกข้าพระองค์ต่างกันก็จริงแล แต่ว่าจิตเหมือนเป็นอันเดียวกัน"

แม้ท่านพระนันทิยะก็กราบทูลดังนั้น

แม้ท่านพระกิมิละก็กราบทูลดังนั้น และกราบทูลอีกว่า "พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ยังพร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกันไม่วิวาทกัน ยังเป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ แลดูกันและกันด้วยจักษุอันเป็นที่รักอยู่"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดีละ ดีละ อนุรุทธ นันทิยะ กิมิละ พวกเธอเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปดีแล้ว"

นั่นคือ พฤติวัตรของพระทั้งสามท่าน ซึ่งเป็นกุศโลบายที่จะอยู่กันอย่างเป็นสุข ท่านที่สามารถเข้าใจและฝึกตนได้ ก็นำไปใช้ได้เลย แล้วจะพบความสุขและความอบอุ่นอันประณีต ลึกซึ้งมาก

และถ้าหากความต้องการไม่ลงตัวกันล่ะ ทำอย่างไรจึงจะเป็นสุขได้

๔. หากความต้องการไม่ลงตัวกัน ต้องตั้งใจว่าเรารักคู่เราให้เสมอรักตนเอง นี่คือวิธีประคับประคองความสุขระดับสุดท้าย หากทำตรงนี้ไม่ได้ เลยจากนี้ก็จะเข้าเขตความทุกข์ซึ่งปัญหานานาประการจะเกิดขึ้นตามมา

ดังที่พระเยซูตรัสว่า "จงรักผู้อื่นให้เสมอกับรักตนเอง" เพราะการรักผู้อื่นให้เสมอกับรักตนเองนั้น จะทำให้เกิดการเอาใจเขามาใส่ใจเรา อะไรที่จะเป็นการกระทบกระเทือนหรือก่อทุกข์ให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง เราจะไม่ทำ

แต่ถ้ารักคนอื่นมากกว่าตนเอง ก็ยอมเป็นทาสตามเขา แม้ในสิ่งที่ไม่สมควร

และถ้ารักตนเองมากกว่าคนอื่น ก็จะเอาแต่ใจตนเอง ต้องการให้เขายอมตนแม้ในสิ่งที่ไม่สมควร

ทั้งสองกรณีจะนำสู่ความบาดหมาง แตกแยก และหายนะในที่สุด

ดังนั้น การรักตนเองให้เสมอกับรักคนอื่น และรักคนอื่นให้เสมอกับรักตนเอง จะเป็นมาตรการสุดท้าย สำหรับประคับประคองความสุขในสัมพันธภาพไว้ได้

เมื่อรักตนเสมอกับรักผู้อื่น และรักผู้อื่นเสมอกับรักตนเองแล้ว แล้วความเห็นหรือความต้องการที่แตกต่างกันนั้นจะทำอย่างไรเล่า ความเห็นหรือความต้องการที่แตกต่างกันนั้น ต้องให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนั้น ๆ เป็นผู้ตัดสินใจเลือก โดยอีกฝ่ายหนึ่งต้องเคารพในหน้าที่ของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย

เมื่อผู้มีหน้าที่เลือกแล้ว ต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งหมายความว่าต้องไม่ทำให้คู่สัมพันธ์เดือดร้อน โดยการเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเอง หากคำนึงได้อย่างนี้เสมอ ๆ ก็จะสามารถรักษาความรักและคงความสัมพันธ์นั้นไว้ได้

หากทำไม่ได้ก็เตรียมตัวพบกับความทุกข์ได้เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Sample text

Sample Text

Sample Text

 
Blogger Templates